Nakornthai's talk
ลิขิตชีวิตแห่งนักจักรยานอาชีพ The Life of a Pro Cyclist
“มันก็คือ เพียงการปั่นจักรยาน” กี่ครั้งกี่หนที่เราเคยได้ยินคำพูดนี้จากคนทั่วๆไปเมื่อเขาเห็นภาพของนักจักรยานอาชีพที่ปั่นจักรยานไปเป็นกลุ่มปรากฎอยู่ในสื่อต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายเหมือนกับการมองสิ่งใดไปที่เพียงเปลือกนอกและตัดสินสิ่งนั้นเพียงภาพหรือวิดีทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า การเป็นนักจักรยานอาชีพพวกเขาเหล่านั้นจะถูกกลืนกินเวลาของความเป็นส่วนตัวทั้งชีวิตตลอด 365 วัน วันละ 24 ชั่วโมงเพื่ออุทิศทุกสิ่งด้วยร่างกายและมโนสำนึก ก็เพื่อคำมั่นสัญญา กฎระเบียบและการเสียสละเพื่อทีมเพื่อชื่อเสียงและการเป็นที่ยอมรับ ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ที่รับแล้วนักจักรยานอาชีพยังมีค่าตอบแทนที่ห่างไกลจากนักกีฬาเบสบอล, นักฟุตบอล, นักบาสเกตบอลและนักฮ้อคกี้ไกลโข ในขณะที่นักจักรยานอาชีพต้องกินกับจักรยาน, นอนกับจักรยาน, เดินทางกับจักรยานและใช้ชีวิตอยู่กับจักรยานทุกวัน
ในเวลาหนึ่งปี 136 ชีวิตของนักกีฬาจักรยานอาชีพที่เข้าแข่งขันในรายการ Amgen Tour of California ต้องปั่นจักรยานเพื่อฝึกซ้อมและแข่งขันรวมเป็นระยะทางยาวกว่า อัตราเฉลี่ยของคนที่ขับรถไปบนท้องถนนถึงสองเท่าในการขับรถไปทำงาน ท่องเที่ยวและภารกิจต่างๆในช่วงเวลาถึงหนึ่งปีเช่นกัน นักจักรยานอาชีพจะต้องปั่นจักรยานเฉลี่ยเท่ากับระยทาง 20,000-25,000 ไมล์ต่อระยะเวลาหนึ่งปี นั่นย่อมหมายความว่าทั้งปีนักจักรยานอาชีพจะต้องใช้เวลาบนอานจักรยานเพื่อการฝึกซ้อมมากกว่านักกีฬาประเภทอื่นอย่างเทียบเคียงกันไม่ได้เลย
การฝึกซ้อม
นักจักรยานอาชีพใช้ห้วงเวลาเฉลี่ยในการฝึกซ้อมวันละ 2-6 ชั่วโมงต่อวัน เวลาเกือบทั้งหมดใช้ไปกับการปั่นจักรยาน ในบางช่วงเวลาการฝึกซ้อมอาจะจะถูกจัดแบ่งเวลาสักหนึ่งชั่วโมงในห้องออกกำลังกายเพื่อฝึกการยกน้ำหนัก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มมัดกล้ามเนื้อทั้งกลุ่มกล้ามเนื้อหลักและกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้สนับสนุนการปั่นจักรยานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนอกฤดูการแข่งขันช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนมกราคม นักจักรยานทุกคนจะได้รับตารางกำหนดการฝึกซ้อมตามหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในระหว่างพักการแข่งขัน รวมถึงตารางหมายงานที่แยกชนิดของการแข่งขันในแต่ละคน อาทิ นักจักรยานคนนั้นเชี่ยวชาญทางด้านการเป็นตัวเร่งความเร็ว(Sprinter), ถนัดในการไต่เขา, นักปั่นประเภทเอนกประสงค์ (all-rounder) และต้องคำนึงถึงลักษณะชนิดของการแข่งขันว่าจะเป็นแบบคลาสสิควันเดียว การแข่งเป็นช่วงแบบ 4-5 ช่วง หรือระดับแกรนด์ทัวร์
ในปฐมบทช่วงแรกของการเข้าค่ายฝึกซ้อมของนักจักรยานอาชีพ นักปั่นจะต้องพบกับโปรแกรมการฝึกซ้อมวันละหลายๆชั่วโมง กับการฝึกความแข็งแกร่งของระบบแอโรบิคคือ การออกกำลังกายในระดับสถานะที่ร่างกายนำก๊าซออกซิเจนเพื่อกระตุ้นปอดและหัวใจสร้างกำลังงาน ในความหนักของงานที่วัดค่าโดยใช้อัตราเต้นของหัวใจมาเป็นตัวกำหนดคือ การปั่นจักรยานในอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด นักจักรยานจะต้องฝึกเป็นเวลาหลายๆชั่วโมงต่อวันจนทำให้ร่างกายเคยชินกับการปั่นด้วยอัตรานี้ จนเปรียบเสมือนกับความเคยชินกับการหายใจเข้าออกเลยทีเดียว และนี่เป็นการปูพื้นฐานสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ก่อนที่จะเริ่มโปรแกรมการฝึกอื่นๆที่จะเข้มข้นขึ้นต่อไป เมื่อฝึกไปได้หนึ่งหรือสองเดือนกับการฝึกแบบระดับต้นที่กล่าวมาคือ โปรแกรม Base Aerobic Ride ขั้นต่อไปก็จะขยับความเข้มของการฝึกปรับความหนักไปที่ขั้นกลางคือ อัตราเต้นของหัวใจจะขยับไปที่ระดับ 75-80 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นสูงสุดในรูปแบบของการฝึกเป็นช่วง (Intervals) ห้วงเวลาการฝึกจะสลับสั้นยาวทั้งความเข้มและระยะเวลาของการฝึกซ้อม ตั้งแต่การฝึกระเบิดพลังงานในการเร่งความเร็วของจักรยานแบบฉับพลันตั้งแต่0 ไปจนถึง 10 วินาที การฝึกเร่งความเร็วในห้วงระยะเวลาต่างๆกันสลับการคืนสภาพแล้วก็เร่งความเร็วอีก ไปจนถึงการฝึกการปั่นขึ้นเขาเป็นเวลาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงเป็นต้นไป เมื่อใกล้วันที่จะเข้าแข่งขัน การฝึกจะเข้าสู่ระดับเข้มที่ใช้อัตราการเต้นหัวใจตั้งแต่ 90เปอร์เซ็นต์ไปจนถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ในการฝึกการขึ้นเขา การเร่งความเร็วฉับพลัน ห้วงเวลาการฝึกจะเริ่มตั้งแต่ 2-15 นาทีต่อหนึ่งยก ด้วยหลักการที่ความเข้มของการฝึกกับห้วงระยะเวลาการฝึกจะผกผันไปในทางตรงกันข้าม คือ ถ้าฝึกภาระงานในอัตราการเต้นของหัวใจสูงยิ่งมากขึ้น ห้วงเวลาการฝึกก็จะสั้นลง และถ้าฝึกในห้วงอัตราการเต้นของหัวใจไม่สูงมากระยะเวลาการฝึกก็จะยาวนาน ในการฝึกนักจักรยานจะใช้เครื่องที่วัดอัตราการเต้นของหัวใจประกอบการฝึก แต่ในปัจจุบันนักปั่นอาชีพไม่น้อยเริ่มใช้เครื่องวัดกำลังงาน (Power Output)ที่วัดค่าออกมาเป็นวัตต์แทน นักจักรยานอาชีพที่มีประสบการณ์มากๆแทบจะไม่ต้องใช้เครื่องมือในการวัดค่าอีกต่อไป เพราะเขารู้ว่าความเหนื่อยที่ได้รับจากการฝึกนั้นพวกเขาสามารถประมาณการว่ามีค่างานเท่าใด
ในระหว่างฤดุการแข่งขันว่างลง นักจักรยานอาชีพจะอยู่ห่างจักรยานประมาณ 1-4 อาทิตย์ เพื่อการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ระหว่างการพักนักจักรยานจะยังคงออกกำลังกายเบาๆเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของร่างกายไว้ โดยพวกเขาจะเปลี่ยนรูปแบบของการออกกำลังกายไปปั่นจักรยานเสือภูเขา การวิ่งระยะทางไกล การปืนเขา การเล่นสกีแบบข้ามภูมิประเทศ(Cross-Country) เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายในการต้อนรับโปรแกรมการฝึกที่กำลังจะมีมาถึงในไม่ช้า
การกินในการเติมเชื้อเพลิงก็คือสารอาหารเพื่อเป็นกำลังงานให้กับนักจักรยานอาชีพที่ฝึกซ้อมหรือเข้าแข่งขันในอัตราเฉลี่ยปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 100 ไมล์ต่อวัน นักจักรยานจะต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอกับภารกิจที่หนักหนาสาหัส พวกเขาต้องการอาหารที่มีคุณภาพสูงและอยู่ภายใต้ระเบียบของการเฝ้าระวังน้ำหนักตัว รายการอาหารของนักจักรยานอาชีพจะเน้นไปที่ผักและผลไม้เป็นจำนวนมาก ตามด้วยกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อาทิ พาสต้า ข้าว และมันฝรั่ง อาหารจำพวกโปรตีนจะถูกเสริมเข้ามาเพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้คืนสภาพ “เมื่อผมอยู่ในช่วงแข่งขันหรือห้วงการฝึกในระยะเข้มข้น ผมจะทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่มากขึ้น แต่เมื่ออยู่ในช่วงพักหรือการฝึกแบบพื้นฐานผมจะทานคาร์โบไฮเดรตน้อยลง” จอร์ช ฮินคาพี้ (George Hincapie) อดีตแชมป์จักรยานอาชีพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา และเคยเป็นมดงานชั้นเทพร่วมทีมกับแลนซ์ อามสตรองในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ถึงเจ็ดปีซ้อนกล่าวว่า “ผมไม่ทานอาหารคุณภาพต่ำเลย ต้องขอบคุณภรรยาของผม(เมลานี่)ที่เธอเป็นทั้งแม่บ้านและนักโภชนศาสตร์ที่เยี่ยมยอด เธอจะจัดเตรียมและปรุงอาหารชั้นเลิศที่ให้ทั้งคุณค่าและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวผม ผมไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์มากนัก แต่เมื่ออาหารค่ำมาถึงผมอดใจไม่ไหวกับไวน์ดีดีสักแก้วดื่มเพื่อประกอบกับอาหารครับ”
เดวิด ซาบริสกี้ (David Zabriskie) แชมป์เปี้ยนจักรยานถนนประเภทบุคคลจับเวลาของสหรัฐอเมริกาถึงสามปี และเป็นนักปั่นจากสหรัฐอเมริกาคนเดียว ที่สามารถชนะช่วงของรายการแกรนด์ทัวร์ครบทั้งสามรายการ คือ Tour de France, Giro d’Italia และ Vuelta a Espana เล่าถึงการวางแผนในเรื่องโภชนาการของแชมป์ว่า “ภรรยาผมจะเป็นคนเตรียมอาหารส่วนใหญ่ที่เป็นออร์แกนิคคือ อาหารที่ส่วนประกอบมาจากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีในระดับสูงที่สุดเท่าที่เธอจะหาได้ และคุณสมบัติสุดท้ายที่เราพยายามร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม คือ อาหารนั้นๆควรจะเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการผลิต วันไหนก็ตามที่เธออาจจะติดมือกลับบ้านมาด้วยเค้กช้อกโกแลตปอนด์ใหญ่ ผมจะไม่แตะมันเลย แต่กระนั้นอาชีพของเราหลีกเลี่ยงการเดินทางไปไม่พ้น แน่นอนว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถปฏิเสธอาหารจานด่วนได้” จากซ้ายไปขวา George Hincapie และ David Zabriskie
นักจักรยานอาชีพต้องการดื่มและกินแบบต่อเนื่องคือ ทานอาหารไม่มากในแต่ละมื้อแต่ทานอาหารบ่อยเป็นมื้อย่อยๆ เพื่อรักษารักษาระดับปริมาณของเหลว และสารอาหารที่เพียงพอสำหรับกำลังงานที่จะนำมาใช้ ในขณะที่ฝึกซ้อมนักจักรยานจะทานสารสกัดแปรรูปที่ให้พลังงาน(Energy Bar)ที่มีคุณค่าจากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน สารสกัดแปรรูปเหล่านี้เป็นที่นิยมเพราะขนาดบรรจุภัฑณ์ที่กระทัดรัดสะดวกกับการพกพา ไม่ต้องผ่านการปรุง สามารถย่อยสลายและดูดซึมโดยร่างกายเพื่อให้พลังงานได้เร็ว “ผมมีกฎที่สำคัญยิ่งสำหรับผม คือ ผมจะไม่ถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพท้องหิวก่อนการฝึกซ้อมหรือแข่งขันอย่างแน่นอน” Hincapie กล่าวเสริม นักกีฬาอาชีพจะรู้ดีว่าการกินวันนี้ก็เพื่อพลังงานที่เต็มเปี่ยมพร้อมสำหรับการแข่งขันในวันรุ่งขึ้น
ภายในกระติกพลาสติกใส่น้ำที่ติดตั้งอยู่ที่ท่อล่างและท่อนั่งของโครงจักรยาน แน่นอนว่าสำหรับมืออาชีพหรือไม่ก็ตาม มันย่อมไม่บรรจุเพียงน้ำเปล่าๆนักจักรยานอาชีพจะใช้น้ำเกลือแร่ (Electrolyte Drink) เป็นเครื่องดื่มชดเชยการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย ซึ่งเกลือแร่จะเป็นน้ำตาลโมเลกุลเชิงเดี่ยวเช่น กลูโคส (ซูโครส เด็กซ์โตรส) โซเดี่ยม โปตัสเซี่ยม คลอไรต์และไบคาร์บอเนต ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย ก็เพื่อคงความสดชื่นให้กับนักจักรยาน แต่จะต้องระมัดระวังการใช้ในอัตราที่เหมาะสม สำหรับมืออาชีพอาจจะไม่เป็นปัญหาเพราะอัตราการสิ้นเปลืองของน้ำและเกลือแร่มีอยู่สูง แต่ถ้าเป็นนักจักรยานสมัครเล่นที่มีเกลือแร่อยู่ในตัวเพียงพอแล้ว ให้พึงระวังเพราะถ้ามีการเติมเกลือแร่เข้าไปมากเกินที่ร่างกายต้องการ เกลือแร่บางชนิดจะสะสมตกค้างเปลี่ยนตัวเองเป็นสารพิษทำให้หัวใจและไตทำงานหนักขึ้นได้
เราจะสังเกตุเห็นจุดที่จ่ายถุงเสบียงให้กับนักจักรยานอาชีพที่ต้องแข่งขันในระยะทางไกลเกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรขึ้นไป ในถุงเสบียงจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแปรรูปในรูปของเจลข้นหรืออัดเป็นแท่ง ขนมอบชิ้นเล็กๆ แซนวิช และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งเครื่องดื่มคาเฟอีนจะช่วยเรียกความสดชื่นให้นักจักรยานได้ในชั่วโมงท้ายๆของการแข่งขัน
นักจักรยานอาชีพจะเผาผลาญพลังงานเกือบ 5,000 แคลอรี่ต่อการแข่งขันในหนึ่งช่วง (Stage) ซึ่งเกินกว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานในคนปกติเกินเท่าตัว ดังนั้นการเติมสารอาหารเพื่อให้นักจักรยานอาชีพพร้อมที่จะทำศึกในวันต่อไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่ง ในขณะเดียวกันนักจักรยานก็ระมัดระวังที่จะต้องคุมน้ำหนักของตนด้วย ดังนั้นหลังจากการแข่งขันจบลงโปรทั้งหลายจะต้องชั่งน้ำหนักเพื่อหาค่าว่าตนได้สูญเสียน้ำหนักตัวไปเท่าใด จากนั้นกระบวนการขุนเพื่อนำสารอาหารเข้าไปในร่างกายก็จะกระทำได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม เมื่อช่วงนอกฤดูการแข่งขันมาถึง นักจักรยานอาชีพอาจจะมีน้ำหนักตัวมากขึ้นกว่าช่วงฤดูการแข่งขันราวๆ 3-10 ปอนด์ แต่เมื่อตารางการฝึกซ้อมตกมาถึงน้ำหนักส่วนเกินนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งอาหาร อาหารเสริมและวิตามินที่จัดให้นักจักรยานจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ประจำทีม เพราะอาจะมีสารอาหารบางชนิดถูกจัดอยู่ในประเภทสารต้องห้ามของระเบียบสหพันธ์ฯ
การคืนสภาพ
เมื่อการฝึกซ้อมอย่างหนักและการแข่งขันที่หฤโหดเสร็จสิ้นลงในแต่ละวัน จะต้องปิดท้ายด้วยขั้นตอนการคืนสภาพความแข็งแกร่งและลดอาการบอบช้ำของกล้ามเนื้อร่างกายของนักจักรยานอาชีพ เพื่อพลรบเหล่านี้จะพร้อมในการแข่งขันชิงชัยในวันต่อไป ขั้นตอนการผ่อนหยุดหรือการคืนสภาพ (Recovery) นักจักรยานที่ผ่านเส้นชัยจะต้องปั่นจักรยานที่ตรึงอยู่กับที่อย่างรอบขาช้าๆ ต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 15 นาที ทั้งนี้เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสลายกำจัดกรดแลคติคที่เป็นกรดของเสียอันเกิดจากขบวน Anaerobic Metabolism ในกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อปวดเมื่อย ดังนั้นการคืนสภาพนอกจากจะขับกรดพิษออกจากร่างกายแล้วจะยังเป็นการช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย ให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะพัก ช่วยยืดกระชับกล้ามเนื้อของนักจักรยานอีกด้วย ดังนั้นเราคงจะไม่ต้องแปลกใจที่นักจักรยานอาชีพหลังจากผ่านเข้าเส้นชัยด้วยระยะทางกว่าสองร้อยกิโลเมตร ยังจะต้องมานั่งปั่นจักรยานอยู่กับที่ต่อไปอีก
นอกจากการคืนสภาพด้วยการปั่นจักรยานเบาๆเพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสลายกรดแลคติคแล้ว นักจักรยานอาชีพยังได้รับเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รวมถึงอาหารอย่างเร็วที่สุดหลังการแข่งขันและฝึกซ้อม เพราะช่วงเวลานั้นร่างกายพร้อมและกระหายจะเปิดรับสารอาหรอย่างเต็มที่ เพื่อที่ร่างกายจะได้นำสารอาหารไปซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายจากการออกกำลังกายมาอย่างหนัก การนวดก็เป็นอีกหนึ่งการคืนสภาพให้กับนักกีฬาที่นิยมและจำเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยคืนสภาพนักกีฬาจักรยานได้อย่างดียิ่งทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะการนวดทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและพังผืดยืดคลายตัว ลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นเป็นการขจัดสลายกรดในร่างกายได้เร็วขึ้น
การนวดช่วยขยายหลอดเลือด และกระตุ้นระบบประสาท เป็นการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย เราจะไม่แปลกใจเลยถึงคุณค่าของการนวด เพราะทีมจักรยานอาชีพระดับชั้นเลิศทั้งสิบแปดทีม ในแต่ละทีมจะมีผู้เชี่ยวชาญทางกระดูกและการนวดอายุรเวทถึงนับสิบคน หลังขั้นตอนการคืนสภาพทั้งหมดนักจักรยานอาชีพจะนอนพักโดยการนอนอาจจะยกระดับของช่วงท่อนขาให้สูงขึ้น เพื่อให้กรดแลคติคสลายออกจากมัดกล้ามเนื้อช่วงขาได้เร็วขึ้น การคืนสภาพด้วยการพักอย่างจริงจังหลังการแข่งขันในแต่ละวันนั้น เป็นคุณค่าที่แท้จริงสำหรับการเตรียมความพร้อมในการแข่งขันในวันต่อๆไป เหล่านักจักรยานอาชีพรุ่นเก่าๆได้ถ่ายทอดคำพูดมาสอนนักจักรยานรุ่นลูกรุ่นหลานว่า “อย่าได้คิดก้าวเดินถ้ายังยืนเฉยๆได้ อย่ายืนในขณะที่มีเก้าอี้ว่างอยู่ข้างๆและอย่าได้นั่งเมื่อมีที่ให้เอนกายลงนอน”
วิถีแห่งการใช้ชีวิตของนักจักรยานอาชีพ
ด้วยฤดูการแข่งขันตามปฏิทินรายการแข่งขันประจำปีของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ(UCI) การแข่งขันจักรยานอาชีพจะเริ่มในราวกลางเดือนมกราคมจนไปถึงกลางเดือนตุลาคมและจะไม่มีการแข่งขันเมื่อฤดูหนาวมาถึง ดังนั้นในช่วงเวลาพักนักกีฬาจักรยานยังจะต้องระมัดระวังการกินอยู่ และใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างเข้มงวด ทั้งในด้านการออกกำลังกาย และอาหารการกินเพื่อเฝ้าระวังน้ำหนักตัว รวมไปถึงการเฝ้าระวังจิตวิทยาของขวัญและกำลังใจในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาของคะแนนสะสมและชัยชนะที่รออยู่ในฤดูการต่อๆไป สิ่งหนึ่งที่สร้างความสาหัสอ่อนล้าให้กับนักจักรยานอาชีพ นอกเหนือไปจากการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงแล้ว นั่นคือ การเดินทางเพื่อไปแข่งขันในประเทศต่างๆ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักจักรยานอาชีพจะต้องประสบอยู่เสมอ ทั้งฮินคาพี้และซาบิสกี้สองนักจักรยานชั้นนำของสหรัฐมีบ้านพักหลังที่สองอยู่ในจีโรน่าประเทศสเปน ทั้งนี้เพื่อให้ทั้งคู่ได้เดินทางตระเวนแข่งขันทั่วภาคพื้นยุโรปได้อย่างประหยัดเวลาไม่ต้องผจญกับความอ่อนล้าจากการเดินทางโดยไม่จำเป็น บ้านหลังที่สองที่สเปนทำให้โปรทั้งคู่เดินทางโดยเครื่องบินไม่เกินหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็สามารถไปถึงเกือบทุกประเทศที่มีการจัดการแข่งขันจักรยานอาชีพในภาคพื้นทวีปยุโรปได้แล้ว
“ปกติเราจะเดินทางไปในเช้าของวันแข่งขันแบบช่วงเลย (Stage Race) เพราะการแข่งขันจะเริ่มในตอยบ่าย แต่ถ้าเป็นการแข่งแบบคลาสสิควันเดียวจบและเป็นการแข่งที่หนักหนาสาหัสกว่า เราจะเดินทางไปล่วงหน้าก่อนอย่างน้อยหนึ่งวัน และทุกครั้งที่บินไปตอนเช้าและแข่งขันในตอนบ่าย ช่วงการปั่นในการแข่งขันของชั่วโมงแรกเราไม่ได้คิดถึงอะไรเลย นอกจากจะพยายามปลุกกล้ามเนื้อและจิตใจของเราให้ตื่นจากความอ่อนเพลียจากการเดินทางโดยเครื่องบิน (Jet Lag)”
“การเดินทางไปทั่วยุโรปของพวกเรา ใครๆคงอาจจะนึกอิจฉาที่เราได้ท่องเที่ยวไปทั่วในมหานครสำคัญๆของทวีปยุโรป แต่เปล่าเลยนักจักรยานอาชีพก็รู้สึกเย็นชากับการเดินทางพอพอกับเจ้าหน้าที่สายการบิน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ เราจะเห็นแต่โรงแรม สนามบิน ห้องอาหาร ห้องประชุม การฝึกซ้อมและเส้นทางการแข่งขันก็เท่านั้นเองที่เราเจอตลอดเกือบทั้งปี ในขณะพวกเรากรำศึกอยู่ในเส้นทางแข่งขันหลายๆชั่วโมง เราก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจากป้ายโฆษณาสินค้าเคลื่อนที่ของผู้ให้การสนับสนุนทีม หลังแข่งขันเราก็ต้องร่วมกันทานอาหารรวมกันและตามด้วยกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการขายให้กับผู้สนับสนุน บางครั้งเราต้องพบสื่อมวลชนสายกีฬา จากนั้นก็ประชุมทีมเพื่อรับข้อมูลเส้นทางแข่งขันในวันถัดไป รับมอบยุทธวิธีที่เราจะทำศึกในบ่ายวันรุ่งขึ้น และกระบวนการทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นซ้ำในเช้าของวันแข่งขันอีกครั้ง ซึ่งบ่อยครั้งมันทำให้เราถูกลดทอนเวลาพักผ่อน เวลาการคืนสภาพและเวลาสงบที่ให้ความเป็นส่วนตัวของพวกเรา แต่อีกนั่นล่ะทั้งหมดก็เป็นส่วนหนึ่งของงานของนักจักรยานอาชีพ
พวกเรามักพูดติดตลกกับประโยคสั้นกันเสมอๆ ที่มันสามารถอธิบายถึงลักษณะที่พวกเราต้องทุ่มเวลาอย่างเป็นบ้าเป็นหลังให้กับการฝึกซ้อมของนักจักรยานอาชีพ เมื่อมีครอบครัวหรือเพื่อนฝูงโทรศัพท์เข้ามาหาเราขณะที่เรากำลังฝึกซ้อม เมื่อทางต้นสายโทรศัพท์ถามว่าเราอยู่ที่ไหน? เรามักจะตอบไปว่า ‘เราอยู่ในที่ทำงาน’ นั่นก็คือ พวกเรากำลังอยู่บนอานจักรยานนั่นเอง”